เก่งหรือจะสู้เฮง ซึ่งการได้มาซึ่งถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกนั้น ได้นั้น ได้รับการพิสูจน์กันมาหลายสมัยแล้วว่า นอกจากจะต้องเก่งจริงแล้ว จะต้องมีโชคกันอีกด้วย วันนี้จะมายกตัวอย่างทีมฮอลแลนด์ หรือกังหันสีส้มที่หลายๆคนชื่นชอบและคุ้นเคยกันดี ว่าเป็นศูนย์รวมนักเตะระดับโลกมากมาย เรียกได้เลยว่าเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยแต่ทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในประวัติศาสตร์การแข่งขันฟุตบอลโลกอันยาวนานนั้น ทีมอัศวินสีส้มไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นแชมป์โลกอย่างเต็มปากเต็มคำกันเลย ซึ่งทีมชาติฮอลแลนด์นั้น สามารถไปไกลที่สุดก็แค่เพียงรองแชมป์โลกเท่านั้น และถ้วยใหญ่รองลงมาก็จะเป็นแชมป์ยุโรปในช่วงรุ่งเรือง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ ?
ปีแล้วปีเล่าที่เรามักจะเห็นลีลาอันเด็ดดวงของบรรดาพลพรรคอัศวินสีส้ม วาดลวดลายในสนามบอลกันอย่างคับคั่ง และแน่นอนว่า ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ส่งออกนักเตะที่เก่งกาจมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ไม่แพ้ชาติมหาอำนาจลูกหนัง ซึ่งได้แชมป์โลกกันชาติละหลายสมัย แต่ที่แน่ๆก็คือในหลายๆยุคนั้น ก็จะเป็นที่รู้กันดีเลยว่า มีรูปเกมและชื่อชั้นเหนือกว่าทีมต้นตำหรับอย่างประเทศอังกฤษเสียอีก แต่ถึงกระชั้น ทีมชาติอังกฤษก็ยังได้แชมป์โลกไป 1 สมัย ฟุตบอลโลกล่าสุด แต่สำหรับทีมอัศวินสีส้มนั้น ไมได้แม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งในยุครุ่งเรืองที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้อย่างไร้เทียมทานก็ยังไม่สามารถที่จะคว้าแชมป์โลกไปได้ ทั้งๆที่เป็นเต็งจ๋ากันเลยในปีนั้น

อัศวินสีส้ม แหล่งรวมนักเตะโคตรเทวดา
ชื่อของนักเตะชั้นเลิศอย่าง รุดกุลลิต โยฮัน ครัฟฟ์ รุด ฟาน นิสเตอรอย และ อาร์เยน ร็อบเบน นั้น ถึงแม้จะเล่นฟุตบอลกันต่างยุคต่างสมัย แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญให้ประเทศฮอลแลนด์ในฐานะมหาอำนาจของลูกหนังอีกทีมหนึ่งนั้น ได้รับการยอมรับอย่างสูงในช่วงหลังๆ เรียกได้เลยว่า สามารถทำให้ชื่อของประเทศที่มีพื้นที่ค่อนข้างจะเล็ก ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในสายตาชาวโลก และไม่ใช่เฉพาะนักเตะเหล่านี้ ยังมีนักเตะอีกมากมายที่เข้าข่ายที่เรียกว่า ตีพระกาฬ ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีลีกภายในที่เข้มแข็งอีกประเทศหนึ่งนั้น ถือได้ว่าผลิตนักเตะที่มีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบันและทุกตำแหน่ง แต่มาถึงปัจจุบันนี้บรรดาแฟนบอลก็ต้องยอมรับกันเลยว่า ค่อนข้างผิดหวังเหมือนกันกับทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ไม่ได้คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เมเจอร์มาค่อนข้างจะนานพอสมควร
นักเตะเทวดาเหล่านี้มักจะสร้างความหวังอันบรรเจิดให้กับแฟนบอลทีมนี้อยู่ทุกทัวร์นาเมนต์กันเลย เพราะต้องเรียกว่า ผลงานของแต่ละคนนั้นในสโมสรต้นสังกัดถือได้ว่าเด็ดดวง คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศ และแชมป์ใหญ่ๆ ระดับทวีปกันมาหมดแล้ว แต่เมื่อมารวมกันเป็นทีมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าความคาดหวังจะต้องสูงเป็นธรรมดา แต่เมื่อเข้าไปรอบลึกๆ ก็มีอันเป็นไปทุกครั้ง ทั้งๆที่ต้องบอกเลยว่า ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกทุกครั้ง การเป็นทีมวางหรือทีมเต็งของอัศวินสีส้มนั้น อยู่กันไม่เกินอันดับที่ 4 – 5 อย่างแน่นอน

ความเป็นมาของทีมชาติฮอลแลนด์
ต้นกำเนิดความยิ่งใหญ่ของทีมชาติอัศวินสีส้มนั้น ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะความยิ่งใหญ่ของทีมชาตินั้น มาจากความสำเร็จของบรรดานักเตะในนามสโมสรล้วนๆ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปนั้น สโมสรจากชาติสีส้มนี้ ก็เคยยืนบนจุดสูงสุดของยุโรปกันมาแล้ว
- อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม คือทีมเดียวจากฮอลแลนด์ที่คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ในสมัยก่อน หรือในสมัยนี้ได้เปลี่ยนกันมาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ ซึ่งปีนั้นจัดการทีมยักษ์ใหญ่ในตอนนั้นอย่าง เอซี มิลาน อย่างอยู่หมัด ด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งสองนัด ทั้งในรอบแบ่งกลุ่มและรอบชิง
- ถือได้ว่า อาแจกซ์ในยุคนั้น ใช้บริการนักเตะต่างชาติกันเพียง 3 คน เท่านั้น เรียกได้เลยว่านักเตะส่วนใหญ่ เป็นลูกหม้อในประเทศเกือบทั้งหมด จากทั้งหมด 26 คน โดยแทบไม่ได้ใช้บริการนักเตะระดับท๊อบแบบหลายๆ ทีม และที่น่าสนใจคือ นักเตะที่ทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลศ เป็นเด็กหนุ่มวัยยังไม่พ้น 20 ปี ที่ต่อมาได้กลายเป็นตำนานทีมชาติอย่าง แพทริค ไคลเวิร์ต และสามรายที่เป็นนักเตะต่างชาตินั้น ก็ถือว่าเป็นนักเตะระดับเอ-ลีสท์ เช่นเดียวกัน ได้แก่ เอ็นวานโก คานู , ยารี่ ลิตมาเน่น และ ฟินิดี้ จอร์จ
- ไม่ต้องปฏิเสธกันถึงความสามารถที่สุดยอดจริงๆ ของ หลุยส์ ฟาน กัลป์ ที่ได้แชมป์เมแจอร์มาแล้วทุกรายการในโลก รวมทั้งการเป็นทีมไร้ภายในลีกสูงสุดในปีนั้นด้วยสถิติ ชนะ 27 เสมอ 7 แพ้ 0 เรียกได้ว่าก่อนหน้าทีมดังจากเกาะอังกฤษอย่างอาร์เซนอลซะอีก
- จุดเริ่มต้นของเพชฌฆาตภูเขาน้ำแข็งอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์ ก็เริ่มต้นมาจากทีมอาแจกซ์เช่นเดียวกัน ซึ่งเขาได้รับการปล่อยตัวไปในปี 1993 ให้กับอินเตอร์มิลาน จากนั้น พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพกับอินเตอร์ ในปี 1998 และย้ายไปร่วมทีมปืนใหญ่ด้วยค่าตัว 11.25 ล้าน ปอนด์ และสร้างตำนานมากมายที่น่าจดจำมาจนถึงทุกวันนี้

1998: ฟุตบอลโลกล่าสุด ในความทรงจำกับแฟนทีมชาติอัศวินสีส้ม
ด้วยความคาดหวังอย่างสูงจากแฟนบอลในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ก็ทำให้แฟนๆบอลผิดหวังด้วยการคว้าเพียงอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลกปี 1998 หรือที่เรียกติดปากกันว่าฟร้องซ์ 98 ซึ่งว่ากันว่าใบแดงตั้งแต่นัดแรกของ แพททริค ไคลเวิร์ต ส่งผลทำให้แผนที่วางไว้เพื่อเข้ารอบลึกๆนั้น เสียไปหมด เมื่อโดนใบแดงในนัดเปิดสนามของเบลเยี่ยม ที่ในขณะนั้นเป็นเพียงทีมระดับเกรด B ของยุโรป
มนต์วิเศษของนักเตะฮอลแลนด์ในทัวร์นาเมนต์นั้น ยังอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลไม่รู้ลืม ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้น ทีมอัศวินสีส้มควรจะได้เข้าชิงเป็นอย่างน้อย ถ้าหากไม่ไปเจอระบบแทคติค ที่เริ่มจะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าความสามารถเฉพาะตัว โดยเฉพาะเมื่อเจอกับระบบหลังห้าของประเทศบราซิล หรือการเพรสซิ่งแบบรุมกินโต๊ะของเดนมาร์ค
บทสรุปของการเดินทาง ของฟุตบอลโลก 1998
ชนะ 1 เหนือเกาหลีใต้ เสมอ 2 กับเบลเยียมและเม็กซิโก ก็ต้องถือว่าเพียงพอกับการเข้ารอบสองด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม แต่การเข้ารอบแบบสะบักสะบอมทำให้ทีมชาติฮออลแลนด์เผยไต๋ออกมาทั้งหมด จุดอ่อน จุดแข็ง และยังกระเสือกระสนเข้าไปพบกับกระดูกชิ้นโตอย่างทีมชาติบราซิล และแพ้ในการชิงดำจุดโทษไป 3-5 และยังไปแพ้ลูกทีเด็ดในนัดชิงที่ 3 ของ ดาวอร์ ซูเคอร์ ไป 2-1
ก็ถือว่าจบกันไปแล้วสำหรับใครที่สนใจอยากหาที่เชียร์ที่เดิมพัน ฟุตบอลโลกที่ดีที่สุด อีกครั้งหนึ่งของฮอลแลนด์ และเมื่อมาถึงปี 2022 นี้มาดูกันว่า ทีมอัศวินสีส้มจะไปได้ไกลขนาดไหน ท่ามกลางอัศวินยุคใหม่อย่างโคตรปราการหลัง อย่าง ฟาน ไดค์ และสุดยอดกองกลางคิลเลอร์พาสอย่าง เควิน เดอ บรอยด์